วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผู้จัดทำ

ผู้จัดทำ




นางสาวกัลยาณี                       คุณยศยิ่ง                     55122702

 นางสาวนัทฐา                          หมื่นสุข                       55122707

 นางสาวรัชนี                            เรือนหมั้น                    55122715

 นายสิทธิชัย                             พันธุศาสตร์                 55122745

 นายอนุศิษฏ์                            อุทธิยา                         55122747



ความเป็นมาของกระดาษสาหมู่บ้านต้นเปา


การทำกระดาษสา สืบทอดจากบรรพบุรุษของบ้านต้นเปา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกระดาษสาดั่งเดิมของเชียงใหม่ โดยในอดีตการทำกระดาษสานั้นเพื่อนำไปใช้ในการผลิตร่มและพัด        โดยแหล่งผลิตร่มและพัดอยู่ที่บ้านบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังใช้ในการทำไส้เทียน ทำตุง และทำโคมลอย ซึ่งกระดาษสายังไม่เป็นที่ต้องการของท้องตลาดมากนัก
จนกระทั่งต่อมากระดาษสาและผลิตภัณฑ์ กระดาษสาได้มีการส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อย่างจริงจังประมาณปี พ.ศ.2537 - 2538 มีการจัดงานแสดง และจำหน่ายกระดาษสาและผลิตภัณฑ์ การจัดการประกวดกระดาษสา ตลอดทั้งการฝึกอาชีพการผลิตกระดาษสาและผลิตภัณฑ์ การบริการให้คำปรึกษาแนะนำพัฒนาเทคนิคการผลิต เครื่องมือเครื่องจักรในการผลิตต่าง ๆ ทำให้คนเริ่มรู้จักและสนใจกระดาษสากันมาก และรู้จักบ้านต้นเปาว่าเป็นแหล่งผลิตกระดาษสาด้วยมือ แบบดั่งเดิมของจังหวัดเชียงใหม่ กระดาษสาและผลิตภัณฑ์จากกระดาษสาจากบ้านต้นเปาได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวด หลายประเภท และหลายครั้ง ชื่อเสียงของกระดาษสาบ้านต้นเปาเริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น ประกอบกับตลาดกระดาษสาและผลิตภัณฑ์กระดาษสาในเมืองไทย เริ่มขยายต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ บางคนมารับงานไปทำที่บ้านเป็นอาชีพเสริมให้กับครอบครัว นอกจากนั้นยังมีผู้ผ่านการฝึก การทำกระดาษสา และผลิตภัณฑ์กระดาษสา ได้ไปประกอบอาชีพเป็นผู้ผลิตอุตสาหกรรมในครัวเรือนของตนเอง 




ขั้นตอนการทำกระดาษสา


ขั้นตอนการทำกระดาษสา มีอยู่ 4 ขั้นตอนหลัก
 คือ การทำปอสาให้เปื่อยและขาว, การทำปอสาให้เป็นเยื่อ, การทำเยื่อสาให้เป็นแผ่น, ขั้นตอนการตากและแกะ
1. ขั้นตอนที่ 1 การทำปอสาให้เปื่อยและขาว
1.1 การต้มปอสาให้เปื่อย
การต้มเปลือกสาจะเหมือนกับการต้มวัตถุดิบอื่นๆ โดยเตรียมน้ำเปล่าใส่ลงในถังต้มเยื่อทำด้วยสแตนเลสใช้อัตราส่วนระหว่างเยื่อแห้งกับน้ำเท่ากับ 1:10 แล้วใส่โซดาไฟลงไปจำนวนที่ใช้ขึ้นอัพเกรดของเปลือกสา ถ้าเป็นเกรด SA และA ใช้ร้อยละ7 ของน้ำหนักเปลือกสาแห้งคนให้ละลายจนหมด จึงนำเปลือกสาที่ผ่านการแช่น้ำหรือสารละลายด่างลงไปคนให้เปลือกคลุกเคล้ากับสารละลายด่างจนทั่ว ปิดฝาถังเยื่อต้มที่มีอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส โดยช่วงแรกให้ใช้ไฟแรงเพื่อให้อุณหภูมิถึงจุดเดือดเร็วๆ เมื่อเดือดแล้วลดความแรงของไฟลงให้เดือด ปกติเพื่อไม่ให้สารละลายด่างล้นออกไปจากถังต้มและคนพริกเยื่อที่ต้มเอาด้านล่างขึ้นบน บนลงล่างทุกๆ 1 ชั่วโมง โดยจับเวลาหลังเดือดเป็นเวลา 3 ชั่วโมงแล้วจึงหยุดต้มทั้งนี้ให้พิจารณาใช้มือดึงด้านล่างและตามยาวเยื่อหลุดออกมาจากกันโดยง่าย หลังจากนั้นให้แช่เยื่อที่ต้มแล้วเอาไว้ในสารละลายด่างที่ต้มต่ออีก 1 คืน เพื่อให้เกิดการย่อยสลายที่สมบูรณ์และสะดวกต่อการปฏิบัติงานเมื่อเย็นลง แล้วล้างเอาด่างออกจากเยื่อด้วยน้ำ 3 ครั้งโดยดูจากเมื่อจับดูแล้วไม่มีความลื่นที่มือ น้ำด่างที่ผ่านการต้มแล้วสามารถนำไปแช่เปลือกสาอีกได้
1.2 การทำความสะอาดปอสาหลังต้ม
เมื่อครบแล้ว นำปอสาย้ายไปใส่บ่อปูนสำหรับล้างปอสา นำน้ำสะอาดใส่จนเต็มแล้วล้างปอสา ประมาณ 2 น้ำ เมื่อสัมผัสปอสาจะมีลักษณะลื่นมือและอ่อนถือว่าได้ที่แล้ว
1.3 การต้มเพื่อฟอกเยื่อให้ขาว
การฟอกเยื่อ
เทน้ำในถัง 200 ลิตรที่ต้มปอสาเปื่อย จากนั้นใส่น้ำใหม่ในปริมาณ 1 : 5 ของปอสาเปื่อย ตั้งไฟรอน้ำเดือด ใส่ไฮโดรเจนและซิลิเกต ลงไปพร้อมกัน คนทุก ๆ 1 ชั่วโมงเช่นกัน ปิดฝาให้สนิท ต้มไปประมาณ 3 ชั่วโมง ปอสาถึงจะขาวได้ที่
1.4 การทำความสะอาดปอสาหลังฟอกเยื่อ
                   เมื่อปอสาผ่านการฟอกแล้ว จะนำปอสาลงไปแช่ในบ่อปูน เพื่อล้างน้ำอีกครั้ง
2 ขั้นตอนที่ 2 การทำปอสาให้เป็นเยื่อ
        ธนกร  คุณยศยิ่ง(2555 กย.9.).เริ่มจากการนำน้ำใส่ในเครื่องโม่ เปิดเครื่องโม่ ใส่ปอสาเปื่อยลงไป เมื่อปอสากลายเป็นเยื่อละเอียด เราก็ใส่เยื่อสนตามลงไป โม่จนเยื่อสนกับปอสาเข้ากัน จากนั้นใส่สีตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งให้เหมือน โม่ให้เข้ากันอีกครั้ง นำเศษสีเหลือใช้ ตามสีที่เราทำเพื่อเพิ่มปริมาณของกระดาษ จากนั้นนำวัตถุดิบให้ละเอียดเข้ากัน เมื่อเสร็จแล้ว ปล่อยเยื่อสาลงในเข่งพลาสติกขนาดใหญ่เพื่อไม่ให้เยื่อสาอุ้มน้ำนั่นเอง

3 ขั้นตอนที่ 3 การทำเยื่อสาให้เป็นแผ่น
          การทำกระดาษสามีด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบช้อน และแบบแตะ หรือแบบหล่อ ซึ่งแบบแตะนี้แบ่งออกไปอีก 2 วิธี คือ วิธีปั้นก้อนเปียก และวิธี consistency ก่อนที่จะทราบถึงวิธีการทำแผ่นแต่ละแบบของไทยจำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับตะแกรงที่ใช้ช้อนแผ่นก่อน เพราะตะแกรงเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างว่าเป็นกระดาษแบบใด(วุฒินันท์  คงทัด , 2540)
          ตะแกรงทำแผ่นแบบไทย ประกอบด้วยส่วนที่เป็นกรอบไม้สี่เหลี่ยมอาจทำด้วยไม้ไผ่ หรือไม้สัก ถ้าทำด้วยไม้ไผ่ราคาถูกอายุใช้งานจะสั้น แต่ถ้าเป็นไม้สักราคาจะแพง สามารถใช้งานได้นาน ถ้าจะดีจะต้องทาด้วยยูรีแทนกันน้ำด้วย ส่วนตาข่ายไนล่อนสีฟ้าและสีขาว ตาข่ายสีขาวจะแข็งแรงกว่าสีฟ้า ตาข่ายนี้จะทำให้กระดาษมีรอยรูปตาข่ายเมื่อกระดาษแห้งแล้ว ซึ่งเป็นตำหนิชนิดหนึ่ง
3.1 การทำกระดาษสาแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
3.1.1 แบบช้อน มักใช้กระดาษชนิดบางสามารถทำได้เป็นจำนวนมาก วันละ 200-300 แผ่นต่อคนต่อวัน แต่กระดาษที่ได้จะไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอในแผ่น และแต่ละแผ่นน้ำหนักกระดาษจะไม่เท่ากัน ถ้าจะให้เท่ากันคนช้อนแผ่นจะต้องมีความชำนาญมาก วิธีการโดยนำน้ำใส่ในอ่างช้อนเยื่อใส่สารกระจายเยื่อที่เตรียมไว้ลงไปปริมาณมากน้อยตามความต้องการของแต่ละคน โดยทั่วไปจะใช้ที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.05 ของสารละลายถ้าใส่น้อยกระกระจายตัวของเยื่อก็จะไม่ดี ถ้าใส่มากเกินไปการไหลผ่านของน้ำออกจากตะแกรง แผ่นกระดาษจะเสียได้ คนด้วยไม้ไผ่ให้สารกระจายเยื่อผสมกับน้ำช้อนเยื่อใส่เยื่อที่ตีแล้วลงไปในน้ำช้อนเยื่อคนให้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่งอ่าง นำตะแกรงจ้วงตักเยื่อจากจุดที่ห่างที่สุด แล้วลากเข้าหาตัวช้าๆ โดยรักษาระดับตะแกรงให้ขนานกับผิวหน้าของน้ำเยื่อไว้ตลอดเวลาความลึกของการจ้วงแต่ละครั้งขึ้นกับความหนาบางของกระดาษที่ต้องการ ยกตะแกรงให้พ้นน้ำโดยเร็วในแนวดิ่ง รอจนน้ำหยดจากตะแกรงจนหมด จึงนำไปตาก

3.1.2 แบบแตะ เป็นวิธีการทำแผ่นที่สามารถกำหนดความหนาของกระดาษได้ แต่การทำแผ่นจะช้ากว่าแบบช้อน กระดาษจะมีความสม่ำเสมอมากกว่า
3.2 การตกแต่งแผ่นกระดาษสา
              การตกแต่งแผ่นกระดาษสาเพื่อให้กระดาษสาสวยงามต่างไปจากแผ่นกระดาษสาทั่วไป ซึ่งจะเป็นกระดาษสาสีขาวหรือสีต่างๆ การตกแต่งอาจจะโดยกระใส่ใบไม้ ดอกไม้ใช้เยื่อต่างสีหรือผสมเยื่อชนิดอื่นๆลงไปหรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางเกษตรก็ได้ นอกจากจะให้ความแปลกใหม่ ความสวยงามแล้วยังช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับการะดาษสา และวัสดุเหล่านั้นอีกด้วย การตกแต่งสามารถจะทำได้หลายวิธี ดังนี้
3.2.1 การตกแต่งโดยการใส่ดอกไม้และใบไม้ ความสวยงามจะขึ้นอยู่กับการออกแบบ และชนิดของดอกไม้ที่จะนำมาใส่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนสีและการตกของสีเมื่อนำมาใส่ลงในกระดาษด้วย ดอกไม้หรือใบไม้จะต้องไม่เปลี่ยนสีหรือสีจะต้องไม่ตก ปนเปื้อนกับกระดาษ การใส่ดอกไม้และใบไม้ทำได้ 2 วิธี คือ
3.2.1.1 ใส่ลงในเยื่อขณะทำแผ่น จะโดยวิธีช้อนหรือแตะก็ตาม เมื่อช้อนหรือแตะเยื่อให้กระจายเต็มพื้นที่ของตะแกรง แล้วนำดอกไม้หรือใบไม้วางลงบนเยื่อกระดาษตามแบบที่ได้กำหนดไว้แล้ว ใช้นิ้วกดดอกไม้หรือใบไม้ลงใต้เยื่อให้เยื่อทับดอกและใบเอาไว้ แล้วยกขึ้น จากนั้นรอให้น้ำหยุดไหลจึงนำไปตากแดด วิธีนี้สามารถจะทำได้เร็ว แต่เยื่อปิดดอกไม้หรือใบไม้ไม่หมดและไม่สม่ำเสมอ บางบ้าง หนาบ้าง บางแห่งก็จะไม่มีเยื่อปิดทำให้ดอกไม้และใบไม้หลุดออกมาได้ ดูแล้วไม่ค่อยสวยงามกระดาษแบบนี้อาจจะขายได้ในราคาไม่สูงมากนัก
3.2.1.2 วางบนเยื่อแล้วปิดทับด้วยแผ่นกระดาษบาง วิธีนี้จะต้องเตรียมแผ่นกระดาษสาชนิดบางเอาไว้ก่อน แผ่นกระดาษสานี้เตรียมโดยการช้อนแผ่นบางๆ ตากให้แห้งให้พอกับจำนวนกระดาษที่จะทำ เริ่มจากการช้อนหรือแตะเยื่อให้กระจายทั่วตะแกรงในอ่าง แล้ววางดอกไม้หรือใบไม้บนเยื่อที่กำหนด หรือจะยกตะแกรงขึ้นจากน้ำก่อน จึงจะวาดดอกไม้หรือใบไม้ เมื่อเสร็จแล้วขณะวางต้องดึงให้ตึงเท่ากันทั้งแผ่น แผ่นกระดาษที่วางทับลงไปจะเปียกน้ำและจะติดกับกระดาษแผ่นล่างโดยไม่หลุด วิธีนี้จะได้กระดาษที่มีความสม่ำเสมอทั่วทั้งแผ่นและไม่มีการหลุดของดอก และใบไม้กระดาษแบบนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าวิธีแรก
4 ขั้นตอนที่ 4 การตากและดึงกระดาษสา
4.1 การทำกระดาษให้แห้ง
              กระดาษสาแบบไทยไม่สามารถจะดึงออกจากตะแกรงในขณะเปียกได้ ดังนั้นจำเป็นจะต้องทำให้กระดาษแห้งทั้งตะแกรง ซึ่งมีด้วยกัน 2 วิธี คือ
  4.1.1 การตากแดด โดยอาศัยความร้อนจากแสงแดดเป็นวิธีที่ประหยัดโดยนำตะแกรงที่น้ำไหลออกจากเยื่อหมดแล้วเอียง 45 องศา หันด้านที่มีกระดาษเข้าหาแสงแดด ถ้าเป็นกระดาษที่ไม่ได้ย้อมสีแต่ถ้าเป็นกระดาษย้อมสีควรจะผึ่งให้แห้งในร่ม เพื่อสีจะได้ไม่ซีดแต่ถ้าไม่มีพื้นที่จำเป็นจะต้องตากแดดให้หันด้านหลังตะแกรงเข้าหาแสงแดดจะช่วยลดการซีดของสีลงได้ กระดาษจะแห้งเร็วหรือช้าจะขึ้นกับสภาพของอากาศและความหนาของกระดาษด้วย โดยปกติจะแห้งในเวลา 2-3 ชั่วโมงหรือการพิงกระดาษกับราวไม้ เอียงกระดาษ 45 องศา
4.1.2 ใช้ตู้อบ สามารถอบกระดาษได้ตลอดเวลาโดยไม่มีปัญหาของสภาพอากาศแต่การลงทุนค่อนข้างสูง แหล่งให้ความร้อนจะเป็นแก๊สหรือไฟฟ้าก็ได้ กระดาษที่จะนำเข้าจำเป็นต้องให้น้ำหยดจนหมดก่อนจึงนำเข้าอบโดยวางซ้อนกันครั้งละหลายชั้นตามความจุของตู้อุณหภูมิที่ใช้ประมาณ 40-45 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปจะทำให้ตาข่ายไนล่อนหดตัวหลุดออกจากตะแกรงได้ กระดาษจะแห้งประมาณ 1 ชั่วโมง ตู้อบสามารถใช้ได้ทั้งกระดาษขาวและกระดาษสี ส่วนกระดาษที่ใส่ดอกไม้และใบไม้เมื่อตัวกระดาษแห้งแล้วจำเป็นจะต้องหาที่แขวนกระดาษต่ออีก 1-2 วันเพื่อให้ดอกไม้หรือใบไม้แห้งสนิทก่อนมิฉะนั้นจะเกิดเชื้อราที่ดอกและใบไม้ที่ใส่เข้าไปได้
4.2 การทำให้ผิวหน้ากระดาษเรียบ
            โดยทั่วไปกระดาษสาไทยผิวหน้าของกระดาษจะไม่เรียบมีลักษณะย่น ขรุขระ เนื่องจากไม่สามารถนำออกจากตะแกรงเข้าเครื่องกดไล่น้ำ (press) ทำให้แห้งบนผิวเรียบของแผ่นสแตนเลส (stream dry) หรือแผ่นไม้ (drying boards) ได้เหมือนกระดาษญี่ปุ่นหรือยุโรป ยิ่งกระดาษที่หนามากจะมีผิวขรุขระมากกว่ากระดาษบาง การจะทำให้ผิวหน้ากระดาษเรียบ สามารถทำได้ดังนี้
ครูดผิวหน้ากระดาษด้วยภาชนะขอบและผิวเรียบ การครูดผิดหน้ากระดาษจะต้องรอให้น้ำหน้าผิวกระดาษระเหยออกไปประมาณร้อยละ 70 ก่อน ถ้าเข้าอบควรจะครูดผิดหน้าก่อนเข้าอบจะได้ไม่เสียเวลาเปิด เข้าออกในขณะตากแดดการะดาษจะมีความเหนียวขึ้น เวลาครูดผิวหน้าจะได้ไม่ขาด การครูดโดยใช่มือขวาจับที่ก้นภาชนะ เช่น ขันแล้วคว่ำขอบบนเข้าหาแผ่นกระดาษใช่ขอบครูดบนผิวกระดาษไปมาโดยค่อยเพิ่มน้ำหนักขึ้นทีละน้อย โดยดูจากผิวของกระดาษเป็นหลัก และไม่กดแรงเกินไป กระดาษอาจจะขาดหรือมีตำหนิได้ การครูดผิวหน้าไม่สามารถกระทำได้ในครั้งเดียวทั้งแผ่นเนื่องจากการระเหยของน้ำออกจะจากแผ่นไม่เท่ากัน ส่วนบนตะแกรงจะแห้งเร็วกว่าด่อนล่าง ดังนั้นจึงต้องคอยครูดผิวหน้าจนหมดทั้งแผ่นกระดาษที่แห้งแล้วนำมาพ้นน้ำแล้วครูดหน้าภายหลังจะไม่เรียบเท่าในขณะตากหรือเปียกครั้งแรก
4.3 การดึงกระดาษสาออกจากตะแกรง

 การ ดึงกระดาษออกจากตะแกรงหลังจากที่กระดาษแห้งแล้ว นับว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำกระดาษแล้วมีความสำคัญค่อนข้างมาก เนื่องจากคุณภาพของกระดาษจะต่ำลงเพราะกระดาษมีตำหนิ เช่น รอยฉีกหรือหักพับจากการดึงกระดาษจะต้องนำตะแกรงมาตั้งเฉียบประมาณ 45 องศา ใช้นิ้วกดด้านบนให้ห่างเท่าๆกัน ดึงกระดาษเข้าหาตัวลักษณะยกขึ้นเล็กน้อย จนกระดาษหลุดออกจากตะแกรงทั้งแผ่นวิธีนี้อาจจะต้องหาที่ยึดขอบตะแกรงด้านบนไว้ มิฉะนั้นตะแกรงจะถูกตึงตามเข้ามาพร้อมกระดาษด้วย ถ้าไม่มีและไม่สะดวกจำเป็นต้องใช่มือข้างหนึ่งจับขอบตะแกรงบนไว้ แล้วมืออีกข้างหนึ่งจับตรงกึ่งกลางขอบกระดาษด้านบน ดึงกระดาษออกจากตะแกรงเหมือนที่กล่าวต้องมีต้องมีความระมัดระวังอย่าให้เกิด รอยหักพับของกระดาษในขณะดึงควรจะดึงออกทีละแผ่นแล้ววางซ้อนกันให้เรียบร้อย จึงจะดึงแผ่นต่อไป



วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อุปกรณ์ในการทำกระดาษสา


อุปกรณ์ในการทำกระดาษสา
โดยเราจะแยกอุปกรณ์ในแต่ละขั้นตอนออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
  1 อุปกรณ์ ขั้นตอนการทำปอสาให้เปื่อย
     1.1 ถัง 200 ลิตร อลูมิเนียม
     1.2 น้ำ
     1.3 ไม้สำหรับคนปอสา
     1.4 ฟืน
     1.5 เข่งพลาสติกขนาดใหญ่
   2. อุปกรณ์ ขั้นตอนการทำปอสาให้เป็นเยื่อ
     2.1 เครื่องโม่ เป็นเครื่องที่ใช้ในการปั่นเยื่อปอสา วัตถุดิบอื่น ๆ ให้ละเอียดและเนื้อเข้ากันดี
     2.2 เข่งพลาสติกขนาดใหญ่
   3. อุปกรณ์ ขั้นตอนการทำเยื่อสาให้เป็นแผ่น และตกแต่งกระดาษสา
     3.1 บ่อปูนขนาดใหญ่
     3.2 ไม้พาย ใช้ในการคนเยื่อสากับน้ำให้เข้ากัน
     3.3 แม่พิมพ์ที่สั่งทำพิเศษ
     3.4 ถัง 200 ลิตรพลาสติก
   4 อุปกรณ์ ขั้นตอนการตาก ดึงกระดาษ
     4.1 รถเข็นทำพิเศษ คือ ต่อเหล็กให้มีขนาดยาว เพื่อที่จะได้ขนแม่พิมพ์กระดาษสาที่ทำแล้วไปตากได้เยอะ
     4.2 ราวไม้

วัตถุดิบในการทำกระดาษสา


วัตถุดิบในการทำกระดาษสา
โดยเราจะแยกวัตถุดิบในแต่ละขั้นตอนออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
1. วัตถุดิบ ขั้นตอนการทำปอสาให้เปื่อย
1.1 ปอสา
1.2 น้ำ
1.3 โซดาไฟ (sodium hydroxide ;  NaOH) ใช้ในการต้มปอสาที่นำมาจากการแช่น้ำเรียบร้อยแล้ว คุณสมบัติของโซดาไฟ คือ ทำให้ปอสาเปื่อย
1.4 ไฮโดรเจน ซิลิเกต ใช้ในการต้มปอสาให้ขาว ต่อจากการต้มเปื่อยจากโซดาไฟแต่การที่จะนำปอสาที่ต้มเปื่อยมาต้มขาวนั้น จะต้องล้างปอสาที่ต้มด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 น้ำ



2. วัตถุดิบ ขั้นตอนการทำปอสาให้เป็นเยื่อ
2.1 ปอสาที่เปื่อยและขาวแล้ว
2.2 น้ำ
2.3 เยื่อสน ใช้ในการโม่ผสมกับปอสาเพื่อเพิ่มปริมาณของกระดาษสาขึ้นอีกเล็กน้อย

2.4สีเคมีหรือสีย้อมผ้า ใช้ในการผสมสีตามสีที่ลูกค้าสั่งเช่น สีแดง พร้อมตวงปริมาณสีที่เหมาะสม
2.5เศษกระดาษสาตามสีที่เข้ากับสีที่เราจะทำ เช่นเศษเหลือสีแดง เพื่อเพิ่มลดปริมาณการใส่ปอสา